ข้อดีและข้อเสียของข้าวไรซ์เบอร์รี่: สิ่งที่คุณควรรู้ก่อนเปลี่ยนมาทานข้าวสีม่วง
- chutichawannan
- 4 วันที่ผ่านมา
- ยาว 1 นาที

หากคุณกำลังมองหาทางเลือกใหม่สำหรับข้าวมื้อหลักของครอบครัว หรือกำลังใส่ใจเรื่องสุขภาพมากขึ้น คงเคยได้ยินชื่อ "ข้าวไรซ์เบอร์รี่" กันมาบ้างแล้วใช่ไหมล่ะ? ข้าวสีม่วงเข้มเกือบดำที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่คนรักสุขภาพ แต่ก่อนที่คุณจะตัดสินใจซื้อมาทานหรือเปลี่ยนจากข้าวขาวมาเป็นข้าวไรซ์เบอร์รี่ บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักทั้งข้อดีและข้อเสียของข้าวไรซ์เบอร์รี่อย่างครบถ้วน เพื่อให้คุณตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด
ข้าวไรซ์เบอร์รี่คืออะไร?
ก่อนจะเข้าสู่ข้อดีและข้อเสีย มาทำความรู้จักข้าวไรซ์เบอร์รี่กันก่อน ข้าวไรซ์เบอร์รี่เป็นข้าวสายพันธุ์ใหม่ที่เกิดจากการผสมข้ามพันธุ์ระหว่างข้าวหอมนิลกับข้าวขาวดอกมะลิ 105 พัฒนาโดยศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าว มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีลักษณะเด่นคือเมล็ดสีม่วงเข้มเกือบดำ เมื่อหุงสุกแล้วยังคงสีม่วงสวยงาม มีกลิ่นหอม และมีคุณค่าทางโภชนาการสูง
ข้อดีของข้าวไรซ์เบอร์รี่
1. คุณค่าทางโภชนาการสูง
หนึ่งในข้อดีที่โดดเด่นที่สุดของข้าวไรซ์เบอร์รี่คือคุณค่าทางโภชนาการที่อุดมสมบูรณ์ ข้าวไรซ์เบอร์รี่มีสารอาหารมากมาย ได้แก่:
โปรตีนสูงกว่าข้าวขาวถึง 2 เท่า
ใยอาหารสูงกว่าข้าวขาวประมาณ 3 เท่า
วิตามินอี เบต้าแคโรทีน และวิตามินบีหลายชนิด
แร่ธาตุสำคัญ เช่น ธาตุเหล็ก สังกะสี และแมงกานีส
น้ำมันรำข้าวที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
การบริโภคข้าวที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงเช่นนี้ช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วนกว่าการบริโภคข้าวขาวทั่วไป
2. อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ
สีม่วงเข้มของข้าวไรซ์เบอร์รี่มาจากสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง นอกจากนี้ยังมีสารแกมมาโอไรซานอล (Gamma Oryzanol) และวิตามินอี ซึ่งล้วนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วย:
ชะลอความเสื่อมของเซลล์
ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด
ป้องกันและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งบางชนิด
ชะลอความเสื่อมของเซลล์สมอง ลดความเสี่ยงต่อโรคอัลไซเมอร์
3. ดัชนีน้ำตาลต่ำ ดีต่อผู้ป่วยเบาหวาน
ข้าวไรซ์เบอร์รี่มีค่าดัชนีน้ำตาล (Glycemic Index) ที่ต่ำกว่าข้าวขาวทั่วไป ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วหลังรับประทาน เหมาะสำหรับ:
ผู้ป่วยเบาหวาน
ผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก
ผู้ที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
การบริโภคอาหารที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำยังช่วยให้รู้สึกอิ่มนานกว่า ลดความอยากอาหารระหว่างมื้อ
4. ช่วยระบบขับถ่าย
ด้วยปริมาณใยอาหารที่สูง ข้าวไรซ์เบอร์รี่จึงมีส่วนช่วยในการทำงานของระบบทางเดินอาหาร โดย:
เพิ่มปริมาณกากอาหาร ทำให้อุจจาระนุ่ม ขับถ่ายง่าย
ช่วยป้องกันอาการท้องผูก
ลดความเสี่ยงต่อโรคลำไส้อักเสบและมะเร็งลำไส้ใหญ่
ช่วยในการขับสารพิษออกจากร่างกาย
5. เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก
ข้าวไรซ์เบอร์รี่เป็นตัวช่วยที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักหรือควบคุมน้ำหนัก เนื่องจาก:
ใยอาหารสูงทำให้อิ่มนาน
พลังงานถูกปลดปล่อยช้าและสม่ำเสมอ ไม่หิวเร็ว
มีน้ำตาลน้อยกว่าข้าวขาว ช่วยลดการสะสมไขมัน
ช่วยกระตุ้นการเผาผลาญไขมันในร่างกาย
ข้อเสียของข้าวไรซ์เบอร์รี่
แม้ว่าข้าวไรซ์เบอร์รี่จะมีประโยชน์มากมาย แต่ก็มีข้อเสียบางประการที่คุณควรพิจารณาก่อนตัดสินใจบริโภคเป็นประจำ:
1. ราคาสูงกว่าข้าวทั่วไป
ข้อเสียที่ชัดเจนที่สุดของข้าวไรซ์เบอร์รี่คือราคาที่สูงกว่าข้าวขาวหรือข้าวกล้องทั่วไปค่อนข้างมาก สาเหตุมาจาก:
กระบวนการปลูกที่ใช้เวลานานกว่า
ผลผลิตต่อไร่ต่ำกว่าข้าวขาวทั่วไป
การดูแลที่ต้องใส่ใจมากกว่า โดยเฉพาะการปลูกแบบอินทรีย์
ความต้องการในตลาดที่สูงขึ้นเรื่อยๆ
ราคาที่สูงนี้อาจเป็นอุปสรรคสำหรับผู้ที่มีงบประมาณจำกัดในการซื้ออาหารประจำวัน
2. ระยะเวลาในการหุงยาวนานกว่า
ข้าวไรซ์เบอร์รี่ใช้เวลาในการหุงนานกว่าข้าวขาวทั่วไปประมาณ 2 เท่า โดยต้อง:
แช่น้ำก่อนหุงประมาณ 30 นาที ถึง 2 ชั่วโมง
ใช้เวลาหุงประมาณ 30-40 นาที (เทียบกับข้าวขาวที่ใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที)
ต้องพักข้าวหลังหุงเสร็จอีกประมาณ 10 นาที
เวลาที่ใช้มากกว่านี้อาจไม่สะดวกสำหรับผู้ที่เร่งรีบหรือมีเวลาจำกัดในการเตรียมอาหาร
3. รสชาติและเนื้อสัมผัสที่แตกต่าง
สำหรับคนที่คุ้นเคยกับข้าวขาว การเปลี่ยนมาทานข้าวไรซ์เบอร์รี่อาจต้องมีการปรับตัว เนื่องจาก:
มีรสชาติเฉพาะตัว ค่อนข้างมีกลิ่นหอมแต่อาจมีรสชาติที่เข้มกว่า
เนื้อสัมผัสเหนียวและแน่นกว่าข้าวขาว
อาจเคี้ยวมากกว่าข้าวขาวทั่วไป
อาจไม่เข้ากับอาหารบางประเภทที่คุ้นเคยกับการทานคู่กับข้าวขาว
ผู้สูงอายุหรือเด็กเล็กอาจต้องใช้เวลาในการปรับตัวกับรสชาติและเนื้อสัมผัสที่แตกต่างนี้
4. อาจทำให้ท้องอืดในระยะแรก
เนื่องจากข้าวไรซ์เบอร์รี่มีใยอาหารสูง ผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับอาหารที่มีใยอาหารสูงอาจเกิดอาการท้องอืด แน่นท้อง หรือท้องเสียในช่วงแรกของการปรับเปลี่ยนมาบริโภค ควร:
เริ่มจากการผสมข้าวไรซ์เบอร์รี่กับข้าวขาวในสัดส่วนน้อยๆ ก่อน
ค่อยๆ เพิ่มสัดส่วนของข้าวไรซ์เบอร์รี่ให้มากขึ้นเรื่อยๆ
ดื่มน้ำให้มากขึ้นเพื่อช่วยในการย่อยใยอาหาร
5. การเก็บรักษาที่ยากกว่า
ข้าวไรซ์เบอร์รี่เป็นข้าวที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ทำให้มีไขมันจากน้ำมันรำข้าวมากกว่า ส่งผลให้:
เสี่ยงต่อการหืนได้ง่ายกว่าข้าวขาว
อายุการเก็บรักษาสั้นกว่าข้าวขาวทั่วไป
ต้องเก็บในที่เย็น แห้ง และมิดชิด ไม่โดนแสงแดด
ควรใช้ให้หมดภายใน 6 เดือนหลังเปิดถุง
ใครควรระวังในการบริโภคข้าวไรซ์เบอร์รี่?
แม้ว่าข้าวไรซ์เบอร์รี่จะมีประโยชน์มากมาย แต่บางกลุ่มคนก็ควรระมัดระวังในการบริโภค ได้แก่:
ผู้ที่มีปัญหาการดูดซึมธาตุเหล็ก - ข้าวกล้องรวมถึงข้าวไรซ์เบอร์รี่มีสารไฟเตต (Phytate) ที่อาจขัดขวางการดูดซึมธาตุเหล็ก
ผู้ที่มีปัญหาระบบทางเดินอาหารบางประเภท - เช่น โรคลำไส้แปรปรวน อาจมีอาการกำเริบได้
ผู้ที่มีประวัติแพ้อาหารบางชนิด - ควรทดลองรับประทานในปริมาณน้อยก่อน
ผู้ป่วยที่ต้องจำกัดโปตัสเซียม - เช่น ผู้ป่วยโรคไตบางราย ควรปรึกษาแพทย์ก่อน
เทคนิคการทานข้าวไรซ์เบอร์รี่ให้ได้ประโยชน์สูงสุด
เพื่อให้ได้ประโยชน์จากข้าวไรซ์เบอร์รี่มากที่สุดและลดข้อเสียบางประการ คุณสามารถทำตามคำแนะนำต่อไปนี้:
1. เริ่มต้นแบบค่อยเป็นค่อยไป
หากคุณไม่เคยทานข้าวกล้องหรือข้าวไรซ์เบอร์รี่มาก่อน ควรเริ่มต้นด้วยการผสมกับข้าวขาวในอัตราส่วน 20:80 แล้วค่อยๆ เพิ่มสัดส่วนขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้ร่างกายปรับตัว
2. หุงให้เหมาะสม
การหุงข้าวไรซ์เบอร์รี่ให้นุ่มและอร่อยมีเทคนิคดังนี้:
แช่ข้าวก่อนหุงอย่างน้อย 30 นาที
ใช้น้ำในปริมาณที่มากกว่าหุงข้าวขาวเล็กน้อย (ประมาณ 1:2.5)
เพิ่มเวลาในการหุงและใช้ไฟอ่อน
หากใช้หม้อหุงข้าวไฟฟ้า ให้กดปุ่ม "ข้าวกล้อง" หรือกดปุ่มหุงข้าวธรรมดา 2 รอบ
3. จับคู่กับอาหารที่เหมาะสม
ข้าวไรซ์เบอร์รี่มีรสชาติที่เข้มข้นกว่าข้าวขาว จึงเข้ากับ:
อาหารที่มีรสจัด เช่น แกงเผ็ด ผัดกะเพรา ผัดพริกแกง
อาหารประเภทผัด หรืออาหารที่มีน้ำซุป
เมนูสุขภาพประเภทผักต่างๆ
อาหารแนวตะวันตก เช่น สเต็ก หรือสลัด
4. ประหยัดโดยการซื้อแบบเป็นกิโล
แทนที่จะซื้อแบบแพ็คเล็ก ลองหาร้านที่ขายข้าวไรซ์เบอร์รี่แบบตักหรือแบบกิโลกรัม แล้วนำมาแบ่งเก็บในถุงซิปล็อคหรือภาชนะปิดสนิท จะช่วยประหยัดเงินได้มาก
ข้าวไรซ์เบอร์รี่ คุ้มค่ากับการลองหรือไม่?
เมื่อพิจารณาทั้งข้อดีและข้อเสียของข้าวไรซ์เบอร์รี่แล้ว จะเห็นได้ว่าข้อดีด้านสุขภาพมีมากกว่าข้อเสียอย่างชัดเจน แม้จะมีราคาสูงและใช้เวลาในการปรุงมากกว่า แต่ประโยชน์ต่อสุขภาพในระยะยาวนั้นคุ้มค่ากับการลงทุน
สำหรับผู้ที่ใส่ใจสุขภาพ ผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก หรือผู้ป่วยเบาหวาน ข้าวไรซ์เบอร์รี่ถือเป็นทางเลือกที่ดีมาก แต่หากคุณมีข้อจำกัดด้านงบประมาณ การทานสลับกับข้าวชนิดอื่นหรือผสมกับข้าวขาวก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ
ลองเปลี่ยนมาทานข้าวไรซ์เบอร์รี่วันนี้ที่ร้าน Under360 แล้วสุขภาพคุณจะดีอย่างเห็นได้ชัดแน่นอน !
คลิกสั่งซื้อเลย
สมัครสมาชิกได้รับส่วนลด 50 บาท สำหรับลูกค้าใหม่
Comments