ไขมันดีจากน้ำมันรำข้าวและน้ำมันมะกอก: คู่หูเพื่อสุขภาพที่คุณต้องรู้จัก
- chutichawannan
- 6 วันที่ผ่านมา
- ยาว 2 นาที
สวัสดีครับ เพื่อนๆ นักดูแลสุขภาพทุกท่าน! วันนี้เรามาพูดคุยกันเรื่องที่หลายคนอาจกังวล แต่จริงๆ แล้วเป็นสิ่งสำคัญต่อร่างกายมากๆ นั่นก็คือ "ไขมัน" โดยเฉพาะไขมันดีจากน้ำมันรำข้าวและน้ำมันมะกอกที่กำลังได้รับความนิยมในหมู่คนรักสุขภาพทั่วโลก
หลายคนอาจคิดว่าไขมันเป็นสิ่งไม่ดี แต่จริงๆ แล้ว ร่างกายเราต้องการไขมันที่ดีเพื่อการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ไขมันเป็นแหล่งพลังงานสำคัญ ช่วยในการดูดซึมวิตามินบางชนิด และยังเป็นส่วนประกอบสำคัญของเซลล์ในร่างกายอีกด้วย
ในบทความนี้ เราจะมาเจาะลึกถึงคุณประโยชน์ของน้ำมันรำข้าวและน้ำมันมะกอก เปรียบเทียบข้อดีข้อเสีย และวิธีการเลือกใช้ให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคุณ มาเริ่มกันเลย!
น้ำมันรำข้าว: สมบัติล้ำค่าจากธรรมชาติของไทย
ประวัติและแหล่งที่มา
น้ำมันรำข้าวเป็นน้ำมันที่สกัดจากรำข้าว ซึ่งเป็นส่วนที่อยู่ระหว่างเปลือกข้าวและเมล็ดข้าวขาว สำหรับประเทศไทยซึ่งเป็นแหล่งปลูกข้าวที่สำคัญของโลก การผลิตน้ำมันรำข้าวจึงเป็นการใช้ประโยชน์จากวัตถุดิบท้องถิ่นได้อย่างคุ้มค่า
น้ำมันรำข้าวมีประวัติการใช้ในเอเชียมายาวนาน โดยเฉพาะในประเทศญี่ปุ่น เกาหลี จีน และไทย ซึ่งเป็นประเทศที่บริโภคข้าวเป็นอาหารหลัก
คุณประโยชน์ทางโภชนาการ
น้ำมันรำข้าวอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์มากมาย ได้แก่:
โอรีซานอล (Oryzanol): สารต้านอนุมูลอิสระที่พบได้เฉพาะในน้ำมันรำข้าว ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด และมีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบ
วิตามินอี: มีในปริมาณสูง ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายจากอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
กรดไขมันไม่อิ่มตัว: มีทั้งกรดไขมันโอเมก้า-3, โอเมก้า-6 และโอเมก้า-9 ในสัดส่วนที่สมดุล ช่วยบำรุงหัวใจและหลอดเลือด
ไฟโตสเตอรอล (Phytosterols): ช่วยลดการดูดซึมคอเลสเตอรอลในลำไส้ ทำให้ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดลดลง
ประโยชน์ต่อสุขภาพ
น้ำมันรำข้าวมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย ดังนี้:
ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล: การศึกษาวิจัยพบว่า น้ำมันรำข้าวสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลรวมและคอเลสเตอรอลชนิด LDL (คอเลสเตอรอลไม่ดี) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด: น้ำมันรำข้าวช่วยเพิ่มความไวต่ออินซูลิน ทำให้เหมาะสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน
ต้านการอักเสบ: สารโอรีซานอลในน้ำมันรำข้าวมีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบ ช่วยบรรเทาอาการข้ออักเสบและโรคอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ
เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน: วิตามินอีในน้ำมันรำข้าวช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายแข็งแรงต้านทานโรคได้ดี
การใช้ในครัวไทย
น้ำมันรำข้าวมีจุดเกิดควันสูง (215°C) ทำให้เหมาะกับการทอดอาหารแบบไทยๆ ที่ต้องใช้ไฟแรง เช่น ผัดกระเพรา ผัดไทย หรือกระทั่งการทอดปาท่องโก๋ นอกจากนี้ยังมีกลิ่นอ่อนๆ ที่ไม่กลบกลิ่นอาหาร ทำให้อาหารยังคงรสชาติดั้งเดิม
น้ำมันมะกอก: สมบัติล้ำค่าจากแถบเมดิเตอร์เรเนียน
ประวัติและแหล่งที่มา
น้ำมันมะกอกมีประวัติการใช้ยาวนานกว่า 8,000 ปี ในแถบเมดิเตอร์เรเนียน เช่น อิตาลี กรีซ สเปน และฝรั่งเศส น้ำมันมะกอกได้รับการขนานนามว่าเป็น "ทองคำเหลว" เนื่องจากคุณค่าทางโภชนาการและประโยชน์ต่อสุขภาพที่มีมากมาย
น้ำมันมะกอกผลิตจากผลมะกอกที่บีบสกัดโดยไม่ผ่านความร้อนหรือสารเคมี โดยเฉพาะน้ำมันมะกอกชนิด Extra Virgin Olive Oil (EVOO) ซึ่งถือเป็นน้ำมันมะกอกที่มีคุณภาพสูงที่สุด
คุณประโยชน์ทางโภชนาการ
น้ำมันมะกอกมีคุณค่าทางโภชนาการที่โดดเด่น ดังนี้:
กรดไขมันโอเมก้า-9: น้ำมันมะกอกอุดมไปด้วยกรดโอเลอิก ซึ่งเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (Monounsaturated Fat) ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจ
สารต้านอนุมูลอิสระ: น้ำมันมะกอกมีสารโพลีฟีนอล (Polyphenols) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง
วิตามินอีและเค: น้ำมันมะกอกมีวิตามินอีและเคในปริมาณที่สูง ซึ่งมีประโยชน์ต่อการสร้างเซลล์และการแข็งตัวของเลือด
สควอลีน (Squalene): สารที่พบในน้ำมันมะกอก มีคุณสมบัติในการต่อต้านมะเร็งและเสริมสร้างสุขภาพผิว
ประโยชน์ต่อสุขภาพ
น้ำมันมะกอกมีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายประการ:
ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ: กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวในน้ำมันมะกอกช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลไม่ดี (LDL) และเพิ่มคอเลสเตอรอลดี (HDL)
ต้านการอักเสบ: สารโพลีฟีนอลในน้ำมันมะกอกมีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบ ซึ่งอาจช่วยป้องกันโรคเรื้อรังต่างๆ
ป้องกันมะเร็ง: มีการศึกษาพบว่า การบริโภคน้ำมันมะกอกเป็นประจำอาจช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่
ชะลอความเสื่อมของสมอง: อาหารแบบเมดิเตอร์เรเนียนที่มีน้ำมันมะกอกเป็นส่วนประกอบสำคัญ อาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์และภาวะสมองเสื่อม
การใช้ในครัว
น้ำมันมะกอกมีจุดเกิดควันที่แตกต่างกันตามประเภท โดย Extra Virgin Olive Oil มีจุดเกิดควันที่ประมาณ 160-190°C เหมาะสำหรับการปรุงอาหารที่ใช้ไฟอ่อนถึงปานกลาง เช่น ผัดผักเบาๆ หรือทำอาหารอบ แต่ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือการใช้ราดสลัดหรือใช้จิ้มขนมปัง เพื่อให้ได้รับกลิ่นและรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของน้ำมันมะกอก
เปรียบเทียบน้ำมันรำข้าวและน้ำมันมะกอก
จุดเด่นของแต่ละชนิด
น้ำมันรำข้าว:
จุดเกิดควันสูง (215°C) เหมาะกับการทอดอาหารไทย
มีโอรีซานอลซึ่งพบได้เฉพาะในน้ำมันรำข้าว
มีกลิ่นอ่อน ไม่กลบกลิ่นอาหาร
ราคาถูกกว่าน้ำมันมะกอกคุณภาพดี
ผลิตได้ในประเทศไทย ลดการนำเข้า
น้ำมันมะกอก:
มีสารโพลีฟีนอลสูง
มีกลิ่นและรสชาติเฉพาะตัว
เหมาะกับการทำอาหารเมดิเตอร์เรเนียน
มีการจัดระดับคุณภาพที่ชัดเจน (Extra Virgin, Virgin, Pure)
เป็นส่วนสำคัญของอาหารเมดิเตอร์เรเนียนซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ
การเลือกใช้ให้เหมาะกับอาหาร
การเลือกใช้น้ำมันรำข้าวหรือน้ำมันมะกอกขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์การใช้งาน:
สำหรับอาหารไทยที่ต้องใช้ไฟแรง: น้ำมันรำข้าวเหมาะสมกว่า เนื่องจากมีจุดเกิดควันสูง และกลิ่นไม่แรงจนกลบกลิ่นอาหาร
สำหรับสลัดและอาหารที่ไม่ผ่านความร้อน: น้ำมันมะกอก Extra Virgin เหมาะสมกว่า เพราะให้กลิ่นและรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์
สำหรับอาหารอบ: สามารถใช้ได้ทั้งสองชนิด แต่ถ้าต้องการกลิ่นของน้ำมันมะกอก ก็ควรเลือกใช้น้ำมันมะกอก
สำหรับอาหารเพื่อสุขภาพ: ทั้งสองชนิดมีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่น้ำมันมะกอก Extra Virgin มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงกว่า
วิธีการเลือกซื้อและเก็บรักษา
การเลือกซื้อน้ำมันรำข้าว
ดูบรรจุภัณฑ์: ควรเลือกบรรจุภัณฑ์ที่ทึบแสง เพราะแสงสามารถทำให้น้ำมันเสื่อมคุณภาพได้
ตรวจสอบวันผลิตและวันหมดอายุ: ควรเลือกซื้อน้ำมันที่ผลิตมาไม่นานและมีวันหมดอายุที่ยังอีกนาน
สังเกตสี: น้ำมันรำข้าวที่มีคุณภาพดีจะมีสีเหลืองทอง
ตรวจสอบกลิ่น: น้ำมันรำข้าวที่ดีควรมีกลิ่นอ่อนๆ ไม่มีกลิ่นหืน
การเลือกซื้อน้ำมันมะกอก
ดูประเภทของน้ำมันมะกอก: Extra Virgin Olive Oil มีคุณภาพดีที่สุด แต่ก็มีราคาสูงกว่าประเภทอื่นๆ
ตรวจสอบแหล่งผลิต: น้ำมันมะกอกจากประเทศอิตาลี กรีซ หรือสเปน มักมีคุณภาพดี
สังเกตสี: น้ำมันมะกอก Extra Virgin มีสีเขียวหรือเขียวอมเหลือง
ตรวจสอบความขุ่น: น้ำมันมะกอกที่มีคุณภาพดีอาจมีความขุ่นเล็กน้อย ซึ่งเป็นเรื่องปกติ
ดูฉลาก "Cold Pressed": การสกัดแบบเย็นช่วยรักษาคุณค่าสารอาหารไว้ได้มากกว่า
การเก็บรักษา
เก็บในที่มืดและเย็น: แสงและความร้อนสามารถทำให้น้ำมันเสื่อมคุณภาพได้
ใช้ภาชนะทึบแสง: ถ้าต้องการถ่ายน้ำมันใส่ภาชนะอื่น ควรเลือกภาชนะที่ทึบแสง
ปิดฝาให้สนิท: การสัมผัสกับอากาศมากเกินไปจะทำให้น้ำมันหืนได้เร็วขึ้น
หลีกเลี่ยงการเก็บใกล้เตา: ความร้อนจากเตาอาจทำให้น้ำมันเสื่อมคุณภาพได้
ข้อควรระวังในการบริโภค
แม้ว่าน้ำมันรำข้าวและน้ำมันมะกอกจะมีประโยชน์มากมาย แต่ก็มีข้อควรระวังในการบริโภค:
ปริมาณแคลอรี่: น้ำมันทุกชนิดมีแคลอรี่สูง (ประมาณ 9 กิโลแคลอรีต่อกรัม) ดังนั้น ควรบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม
การใช้ความร้อนสูง: น้ำมันมะกอก Extra Virgin ไม่เหมาะกับการทอดอาหารด้วยไฟแรง เนื่องจากอาจสร้างสารที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพเมื่อถูกความร้อนสูง
อาการแพ้: บางคนอาจมีอาการแพ้น้ำมันบางชนิด ควรสังเกตอาการหลังการบริโภค
ผู้ที่มีโรคประจำตัว: ผู้ที่มีโรคตับ ถุงน้ำดี หรือโรคเรื้อรังอื่นๆ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการปรับเปลี่ยนชนิดของน้ำมันที่ใช้
สรุป: การผสมผสานการใช้น้ำมันทั้งสองชนิดในชีวิตประจำวัน
น้ำมันรำข้าวและน้ำมันมะกอกต่างก็มีคุณประโยชน์ที่โดดเด่นและมีจุดเด่นแตกต่างกันไป การผสมผสานการใช้น้ำมันทั้งสองชนิดในชีวิตประจำวันจึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ใส่ใจสุขภาพ
ถ้าคุณชอบทำอาหารไทยที่ต้องใช้ไฟแรง การใช้น้ำมันรำข้าวจะเหมาะสมกว่า แต่หากต้องการทำสลัดหรืออาหารเมดิเตอร์เรเนียน น้ำมันมะกอก Extra Virgin จะช่วยเพิ่มรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ให้กับอาหารของคุณ
สำหรับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพหัวใจหรือควบคุมระดับคอเลสเตอรอล การใช้น้ำมันทั้งสองชนิดสลับกันไปตามความเหมาะสมของอาหารแต่ละประเภท จะช่วยให้ได้รับประโยชน์จากไขมันดีที่หลากหลายและครบถ้วนมากยิ่งขึ้น
อยากให้สุขภาพของคุณดีขึ้นด้วยการเลือกไขมันที่ดีใช่ไหม? เมนูจากทางร้าน under360 ทุกเมนูมีส่วนผสมของน้ำมันรำข้าว หรือ น้ำมันมะกอก ในการทำอาหารคลีน
สุขภาพดีเริ่มต้นที่อาหารการกิน และการเลือกน้ำมันที่ดีก็เป็นก้าวแรกที่สำคัญ เริ่มต้นใส่ใจสุขภาพของคุณตั้งแต่วันนี้!
สมัครสมาชิกได้รับส่วนลด 50 บาท สำหรับลูกค้าใหม่
คลิกสั่งซื้อเลย
Commenti